รถยนต์ไฟฟ้า มีทั้งหมดกี่ประเภท และมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
เทียบกับเมื่อ 2-3 ปีก่อนรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นเหมือนเรื่องไกลตัวคนไทยมาก ๆ ทั้งเรื่องสถานีชาร์จที่ยังมีไม่มากพอจะรองรับการใช้งาน หรือแม้กระทั่งการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูงมาก แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่าด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีจนถึงตอนนี้ รถยนต์ไฟฟ้าของค่ายต่าง ๆ เข้ามาเปิดตัวพร้อมทำตลาดในประเทศกันเป็นจำนวนมาก มีรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกเยอะอย่างเห็นได้ชัด แถมสถานีชาร์จทั่วประเทศก็เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว ฉะนั้นคนที่กำลังให้ความสนใจรถไฟฟ้าอยู่ ลองมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมจาก เอเชียไดเร็ค กันได้เลย
รถยนต์ไฟฟ้า คือ อะไร
รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถยนต์ที่มีการใช้แหล่งพลังงานจากไฟฟ้า โดยนำพลังงานไฟฟ้าที่เก็บอยู่ในแบตเตอรีมาใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อนแทนน้ำมัน และกลไกการทำงานของมอเตอร์เองก็ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนรถยนต์น้ำมัน รวมถึงการชาร์จไฟให้กับแบตเตอรีที่มีรองรับหลายระบบ ช่วยประหยัดได้ทั้งค่าเชื้อเพลิง และประหยัดเวลาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่รองรับการ Quick Charge เมื่อระบบภายในใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก ยังส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเงียบ และปราศจากไอเสียอีกด้วย
รู้จัก 4 ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า
ทำความรู้จักกับประเภทรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฮบริด (HEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ซึ่งปัจจุบันเราสามารถพบเห็นรถเกือบทุกประเภทที่กล่าวมาได้แล้วบนท้องถนน ส่วนรายละเอียดทั้งหมดจะอ้างอิงมาจาก<a href="https://erdi.cmu.ac.th/?p=2956"rel="nofollow,noopener,noreferrer">สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สามารถติดตามอ่านได้จากหัวข้อดังต่อไปนี้
รถยนต์ไฮบริด (HEV: Hybrid Electric Vehicle)
รถยนต์ไฮบริด (HEV: Hybrid Electric Vehicle) คือ รถยนต์ที่มีการใช้พลังงานผสมผสานระหว่างเชื้อเพลิงทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่จากการที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย โดยระบบในรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดนั้นเมื่อเราทำการเหยียบเบรกหรือผ่อนคันเร่ง พลังงานบางส่วนจะถูกชาร์จเพิ่มเข้าสู่แบตเตอรี แล้วนำมาใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมกับการทำงานของเครื่องยนต์นั่นเอง
รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV: Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV: Plug-in Hybrid Electric Vehicle) คือ รถยนต์ที่มีระบบเช่นเดียวกันกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด เพียงแต่มีการติดตั้งแบตเตอรีกักเก็บไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่มากกว่ารถไฮบริด พร้อมกับมีช่อง Plug-in ที่สามารถเสียบชาร์จแบตเตอรีได้ ส่งผลให้มีระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้ามากกว่าไฮบริด เมื่อแบตเตอรีหมดลงตัวรถจะทำงานเช่นเดียวกันกับระบบไฮบริดเลย จึงถือว่าเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายโดยยังสามารถเลือกใช้พลังงานได้อย่างรอบด้าน
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV: Battery Electric Vehicle)
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV: Batter Electric Vehicle) หรือก็คือรถยนต์ไฟฟ้า EV นั่นแหละ รถประเภทนี้จะปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% จากการติดตั้งแบตเตอรีที่มีขนาดใหญ่ จึงเก็บประจุไฟได้เยอะ จนมีระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งค่อนข้างไกล ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาขายในไทย สามารถทำระยะทางเฉลี่ยได้ตั้งแต่ 300 กิโลเมตร จนถึง 500 กิโลเมตรเลยทีเดียว แถมยังเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่มีอัตราการปล่อยก๊าซมลพิษเป็น 0 อีกต่างหาก
รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV: Fuel Cell Electric Vehicle)
รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV: Fuel Cell Electric Vehicle) คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนโดยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิงเป็นหลัก เชื้อเพลิงในที่นี้จะมีการใช้งานไฮโดรเจนจากการเติมเชื้อเพลิงภายนอก ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซมลพิษ แต่จะมีการปลดปล่อยน้ำออกไปเท่านั้น หรือถ้าหากเรียกง่าย ๆ รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ก็คือ รถยนต์ใช้น้ำ ที่ในอดีตเคยมีข่าวออกมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถใช้ได้จริง
ข้อมูลเพิ่มเติม: ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง ได้มีคอนเซปต์ถึงการนำน้ำ ผสมกับเอธานอลเพื่อให้กลายเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตามรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง ยังเป็นเพียงแค่ ทฤษฎีหรือต้นแบบยานยนต์ที่อยู่ในช่วงการทดลองเท่านั้น ยังไม่มีค่ายรถยนต์ไหนผลิตออกมาขายหรือใช้งานบนท้องถนนได้อย่างเป็นทางการ
รถยนต์ไฟฟ้า ข้อดี ข้อเสียเป็นอย่างไรในปัจจุบัน
รถยนต์ไฟฟ้า ข้อดี ข้อเสียในปัจจุบันนั้นต้องยอมรับเลยว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ข้อดีมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อจำกัดหลายประการ จนกลายเป็นข้อเสียเยอะกว่า ดังนั้นลองมาอัปเดตกันสักหน่อยว่าตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดี ข้อเสียเป็นอย่างไร
ข้อดี | ข้อเสีย |
ประสิทธิภาพการทำงานของรถไฟฟ้าในปัจจุบันทำได้ค่อนข้างดี ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวก็สามารถเดินทางได้แล้ว | สถานีชาร์จที่ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่รถไฟฟ้าเองก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ทำให้ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ดีเท่าที่ควร |
ลดมลพิษบนท้องถนน จากการที่ตัวรถไฟฟ้าไม่ได้ปล่อยไอเสียออกมา รวมถึงยังสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย | ราคาแบตเตอรีของรถไฟฟ้านั้นมีราคาที่สูงเอามาก ๆ หากเกิดการเสียหายขึ้นมาในกรณีที่ไม่ได้รับการคุ้มครองแล้วต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด จะกลายเป็นภาระหนัก |
ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าในการชาร์จแบตเตอรีที่มีราคาไม่แพงเหมือนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ช่วยประหยัดรายจ่ายต่อเดือนได้ค่อนข้างดีมากทีเดียว | ในระยะยาว 5-10 ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการบำรุงรักษาที่มากพอ ทำให้ในอนาคตอันไกลยังไม่รู้ว่ารถไฟฟ้าจะใช้งานได้ทนทานมากน้อยแค่ไหน |
เสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานได้เงียบ ทำให้การขับขี่รู้สึกนุ่มนวล มีความสะดวกสบายมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน | |
การบำรุงรักษาไม่ซับซ้อนหรือยุ่งยากเหมือนรถยนต์ใช้น้ำมัน ที่ต้องมีทั้งการถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ต้องเลือกประเภทเชื้อเพลิง | |
ปัจจุบันรถไฟฟ้ามีตัวเลือกหลายรุ่นในตลาด ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยราคาเริ่มต้นไม่สูงเหมือนในอดีต |
สรุป รถไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ถือเป็นทางเลือกใหม่ของคนที่ต้องการมีรถยนต์ ที่ช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้เป็นอย่างดี เพียงแต่อาจจะต้องมีการบริหารจัดการการเดินทาง และเวลาในการชาร์จไฟอยู่บ้าง ยิ่งถ้าใครไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านของตัวเอง และต้องออกไปใช้บริการสถานีชาร์จนอกบ้าน ยิ่งต้องวางแผนให้ดีมากขึ้นด้วย
รถยนต์ไฟฟ้า 2023 ในไทยมี
รถยนต์ไฟฟ้า 2023 ในไทยปัจจุบันมีกี่ค่าย คำตอบ คือ ประมาณ 11 ค่ายที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV 100% ออกมาขายและมีวิ่งให้เห็นบนท้องถนนประเทศไทย ได้แก่ Tesla, BYD, GWM, NETA, MG, Nissan, Lexus, Volvo, BMW, Mercedes Benz และ Toyota สำหรับรุ่นรถยนต์ไฟฟ้า 2023 ที่น่าสนใจของแต่ละค่ายจะมีรุ่นตามลิสต์รายการทั้งหมดดังนี้
- Tesla: Model3 และ Model Y
- BYD: Atto3, Dolphin และ Seal
- GWM: Ora Good Cat และ Tank
- MG: ZSEV, EP และ MG4Electric
- Nissan: Leaf
- Lexus: UX 300e
- Volvo: XC40 และ C40
- BMW: iX3 และ i4
- Mercedes Benz: EQS 450+
- Toyota: bZ4X
และนอกเหนือจากเหล่ารถยนต์ไฟฟ้า EV 100% ของแต่ละค่ายที่เราได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดให้เลือกอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีค่ายดังผลิตออกมาขายเป็นจำนวนมาก เช่น Toyota Corolla Cross, Honda City e:HEV, MG HS PHEV, Honda HRV, Nissan Kicks e-POWER และ Honda CRV e:HEV เป็นต้น ทำให้คนไทยมีตัวเลือกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหลายทาง ดังนั้นลองประเมินความต้องการใช้งานกับตัวเองดูอีกครั้งก่อนเลือกซื้อได้เลย ว่าการใช้งานรถยนต์ของเราเหมาะสมกับประเภทไหนมากที่สุด
หลังจากที่ออกรถยนต์ไฟฟ้ามาเรียบร้อยแล้ว เอเชียไดเร็ค แนะนำเลยว่าควรทำประกันรถยนต์ไว้ทันที เพราะถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราจะได้มีประกันช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมตัวรถ รวมถึงค่าดูแลรักษาพยาบาล หรือค่าชดเชยทรัพย์สินอย่างครอบคลุม ซึ่งทางที่ดีที่สุดการเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ดูเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้วกับรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของคุณ โดยตอนนี้ทาง เอเชียไดเร็ค มีข้อเสนอสุดพิเศษมากมายรอคุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสูงสุดถึง 70% หรือจะเลือกผ่อน 0% ได้นานถึง 10 เดือน แถมเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 มีเบี้ยเริ่มต้นเพียง 7,100 บาทเท่านั้น หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 02-089-2000 หรือไลน์แอด @asiadirect ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ประกันรถยนต์ประเภทไหนคุ้มครองอะไรบ้าง