ดูแลยานยนต์

ไฟตัดหมอกมีความสำคัญอย่างไร และแยกออกเป็นกี่ประเภท

ผู้เขียน : คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริดกว่า 7 ปี ผู้พยายามเข้าใจมักเกิ้ล นิยมชมชอบกลางคืน สามารถผูกมิตรได้ด้วยของกินอร่อยๆ ตอนนี้กำลังหลบลี้หนีภัยจากออฟฟิศซินโดรมอยู่

Published January 25, 2024
ไฟตัดหมอก

โดยปกติแล้วคนที่ซื้อรถยนต์ในปัจจุบันจะมีไฟตัดหมอกติดตั้งมาให้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแต่บางคนอาจไม่ทราบข้อมูลอย่างแท้จริงว่าไฟตัดหมอก คือ อะไร มีประเภทแยกย่อยไปอีกหลายรูปแบบด้วยหรือไม่ รวมถึงสถานการณ์การใช้งานที่เหมาะสม ซึ่งบทความนี้ เอเชียไดเร็ค ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับไฟตัดหมอกมาให้อย่างครบถ้วน เพื่อให้ทุกคนสามารถทำความเข้าใจ และกลับไปเริ่มต้นใช้งานไฟดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง 

 

ไฟตัดหมอก คือ อะไร

ไฟตัดหมอก คือ ไฟที่ถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับต่ำกว่าไฟหน้ารถ เพื่อทำหน้าที่ในการส่องสว่างในระนาบเดียวกันกับพื้นถนน โดยสามารถส่งได้ไหลสุดถึง 30-80 เมตร ซึ่งความเข้มแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากไฟตัดหมอก จะสามารถส่องทะลุผ่านหมอกหนา หรือช่วงที่ฝนตกหนักได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถใช้งานในประเทศไทยในหลายภูมิภาคได้อย่างเกิดประโยชน์ แน่นอนว่าไฟตัวนี้ในรถยนต์ส่วนใหญ่มักผ่านมาตรฐานมาดีอยู่แล้ว แต่ผู้คนทั่วไปอาจไม่ได้เปิดใช้งานอย่างเหมาะสม จึงอาจดูเหมือนไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก

 

 ไฟตัดหมอกมีกี่ประเภท

เดิมทีการรู้จักไฟตัวนี้ก็เหมือนเป็นเรื่องที่ลึกพอตัวอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ไฟตัดหมอกมีถึง 3 ประเภทย่อยด้วยกัน คือ Fog Lamps, Driving Lamps และ Pencil Beam Lamps แต่ละประเภทจะมีประสิทธิภาพแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากใครที่รถยนต์มีการติดตั้งไฟตัดหมอกไว้อยู่แล้ว ลองเช็กกับคู่มือรถเพิ่มเติมว่ารถยนต์ของเราใช้งานประเภทไหนอยู่ หรือหากใครต้องการเปลี่ยนใหม่ ก็ลองให้ช่างผู้มีประสบการณ์ช่วยแนะนำเพิ่มเติมในแต่ละประเภทได้เช่นกัน 

 

Fog Lamps

Fog Lamps คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เน้นความสว่างของตัวแสงให้กระจายออกด้านข้าง เสริมให้การมองเห็นไหล่ทางด้านข้างถนนมีความชัดเจนมากขึ้น มีการหักเหแสงค่อนข้างมาก ทำให้แสงพุ่งออกไปไม่ไกลจากตัวไฟ มักถูกเลือกติดตั้งในรถยนต์ที่ใช้ความเร็วต่ำ

 

Driving Lamps

Driving Lamps คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เพิ่มเติมระยะการส่องสว่างไกลมากขึ้นกว่าเดิม แต่จะไม่ได้เน้นเรื่องความกว้างของช่วงแสงเหมือนกับ Fog Lamps ทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายสถานการณ์ จึงมีความเหมาะสมรถยนต์ที่เดินทางกลางคืนบ่อย รวมถึงการใช้งานข้ามจังหวัดก็ใช้งานได้ดีทีเดียว

 

Pencil Beam Lamps

Pencil Beam Lamps คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เน้นระยะแสงให้พุ่งไปด้านหน้าได้ไกลมากที่สุด เพื่อให้สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รถยนต์ทั่วไปไม่เหมาะกับการใช้งานไฟประเภทนี้ ส่วนมากมักเลือกติดตั้งให้กับรถยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการแข่งขันแบบครอสคันทรี เนื่องจากต้องเจอทางวิบาก และภูมิประเทศที่ไม่ราบเรียบเหมือนถนนทั่วไป

 

โดยปกติแล้วรถยนต์ส่วนใหญ่มีการติดตั้งไฟตัดหมอกไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบบ Fog Lamps หรือไม่ก็ Driving Lamps ที่เหมาะกับการใช้งานแบบทั่วไป ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนทราบประสิทธิภาพของตัวไฟตัดหมอกกันเรียบร้อยแล้ว หากอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการแสงไฟส่องทางให้ชัดเจนมากขึ้น อย่าลืมนึกถึงการใช้งานไฟส่วนนี้เผื่อเอาไว้ด้วย จะได้ขับขี่อย่างปลอดภัยมากขึ้น

 

ความสำคัญของไฟตัดหมอก

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ไฟตัดหมอก มีหน้าที่ช่วยให้เราสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ในช่วงเวลาที่มองเห็นถนนได้ไม่ชัดเจน เพราะสภาพอากาศบดบังทัศนวิสัย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่หมอกลงหนาจัด, ฝนตกหนักจนหน้าฉากเป็นสีขาวโพลน รวมถึงเวลาที่เราขับรถข้ามจังหวัดและเจอควันไฟขนาดมหึมาที่จับกลุ่มหนา จนทำให้เรามองเห็นถนนได้ไม่ชัดเจน เวลานี้เองที่ไฟตัดหมอกจะถูกเลือกใช้งาน ให้เราสามารถมองเห็นถนนข้างหน้าได้ชัดเจน เนื่องจากมีแสงไฟสว่างคอยส่องผ่านสิ่งที่เข้ามาบดบังในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งไฟตัวนี้จะถูกติดตั้งแยกออกจากไฟหน้าดวงหลัก เพื่อให้รถยนต์คันอื่น ๆ สามารถสังเกตและแยกแยะด้วยสายตาได้ง่าย ช่วยป้องกันความสับสน จึงลดอุบัติเหตุได้ด้วย

 

ไฟตัดหมอก

 

หลักการทำงานของไฟตัดหมอก

การทำงานของไฟตัดหมอกจะให้ความเข้มแสงที่สูงกว่าไฟปกติ ทำให้การติดตั้งต้องเน้นการส่องที่มีระนาบเดียวกันกับพื้นฐาน ป้องกันไม่ให้ส่องไปรบกวนรถยนต์คันอื่นบนท้องถนน โดยปกติแล้วจะสามารถส่องได้ในระยะประมาณ 10-15 เมตร สำหรับไฟตัดหมอกที่ส่องแสงแบบสาดเอียงลงพื้น ส่วนไฟที่ติดตั้งไว้แบบขนานกับพื้นถนนพอดีจะไม่สะท้อนกลับเข้าหาผู้ขับขี่ แถมยังสามารถมองเห็นได้ไกลตั้งแต่ 30-80 เมตร และยังมีประสิทธิภาพในการส่องผ่าน หรือทะลุทะลวงต่อสิ่งที่มาบดบังได้ดีมาก 

 

สถานการณ์ไหนที่ควรเปิดใช้ไฟตัดหมอก

สถานการณ์ไหนที่ควรเปิดใช้งานไฟตัดหมอก ช่วงที่เราต้องขับรถยนต์ขึ้นภูเขาสูง, ขับรถในช่วงกลางคืนที่ฝนตกหนัก, ขับรถช่วงกลางคืนหลังฝนตก และช่วงเวลาที่เจอหมอกควันเข้ามาบดบังทัศนวิสัย ซึ่งนอกเหนือจากสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ไม่ควรเปิดใช้งานไฟตัดหมอกตามไฟปกติ เพราะอาจทำให้ไฟที่มีความเข้มแสงมากนี้ส่องไปยังรถยนต์คันอื่นบนท้องถนน และกลายเป็นการรบกวนการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายขึ้นมาได้ ทั้งยังเสียงต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นมาดูรายละเอียดเพิ่มเติมในสถานการณ์ที่ควรใช้งานกันสักหน่อยดีกว่า

  • ใช้งานช่วงที่เราต้องขับรถยนต์ขั้นภูเขาสูง เพราะอาจทำให้เราได้เจอเมฆหมอกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในฤดูหนาว และช่วงเวลากลางคืนที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าในตอนกลางวัน
  • ใช้งานเมื่อขับรถช่วงกลางคืนฝนตกหนัก เนื่องจากเม็ดฝนหนา ๆ อาจทำให้ฉากหน้าของเรากลายเป็นสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นถนน หากมีความจำเป็นต้องเดินทางต่อ ไฟตัดหมอกจะพอช่วยให้เราเห็นถนนได้มากขึ้น (แต่ในกรณีที่ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นถนน ควรจอดรถรอให้ฝนเบาลงค่อยเดินทางต่อจะปลอดภัยกว่า)
  • ใช้งานเมื่อขับรถกลางคืนหลังฝนตก เพราะน้ำขังบนท้องถนนอาจทำให้เรามองเห็นถนนไม่ค่อยชัด การเปิดไฟตัดหมอกจะช่วยให้เราเห็นพื้นถนนได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง
  • ใช้งานในช่วงเวลาที่เจอกลุ่มหมอกควันเข้ามารบกวน บางเวลาที่เดินทางไปต่างพื้นที่ อาจเจอควันไฟขนาดใหญ่เข้าปกคลุมพื้นที่ถนน จนทำให้การมองเห็นไม่ดีดังเดิม ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้

ทีนี้คุณก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเดินทางไปในทุกหนแห่ง เพราะถ้าเจอสถานการณ์ที่เรายกตัวอย่างไปด้านบน คุณสามารถเปิดไฟตัดหมอก เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นได้ทันที แต่ทั้งนี้อย่าลืมลดระดับความเร็วในการขับขี่ลงด้วย จะได้เดินทางปลอดภัยจนถึงจุดหมาย

 

เปิดไฟตัดหมอกแบบไหนที่ผิดกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้มีการระบุข้อความเอาไว้ว่า การเปิดใช้งานไฟตัดหมอก สามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีหมอก ควัน หรือฝุ่นละออกเป็นอุปสรรคที่อาจทำให้เกิดอันตรายระหว่างการขับขี่ รวมถึงการใช้งานเมื่อไม่มีรถสวนมาในระยะ 150 เมตร สามารถใช้งานได้ทั้งหลอดไฟสีขาวและสีเหลือง แต่ห้ามมีกำลังไฟเกินกว่า 55 วัตต์ต่อดวง หากมีการเปิดใช้งานไม่เป็นไปตามประเภท ลักษณะ และเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ตามมาตรา 148 ดังนั้นกควรเปิดใช้งานในสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น เวลาปกติไม่ควรเปิด (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับไฟที่สุดแสนจะมีประโยชน์กันไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าอยากเพิ่มความปลอดภัย ความอุ่นใจในทุกการเดินทาง เอเชียไดเร็ค ต้องขออนุญาตแนะนำให้คุณลองพิจารณาประกันรถยนต์ เผื่อเอาไว้ดูแลคุ้มครองในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลค่าเสียหายซ่อมรถ, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าชดเชยทรัพย์สินบุคคลภายนอก และอื่น ๆ ที่ประกันรถยนต์ของเราพร้อมดูแล หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเพิ่มเติม ติดต่อมาได้ที่เบอร์ 02-089-2000 และไลน์แอด @asiadirect

บทความดูแลยานยนต์
Rabbit Care Blog Image 1051
ดูแลยานยนต์

ถุงลมนิรภัย คือ อะไร ใช้งานเมื่อไหร่ ต้องเปลี่ยนไหม แล้วมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

จุดเริ่มต้นของถุงลมนิรภัยเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1971 ที่ทางบริษัทฟอร์ดได้สร้างรุ่นทดลองขึ้นมาวิจัย
คะน้าใบเขียว
clock icon01/02/2024
Rabbit Care Blog Image 1047
ดูแลยานยนต์

Crossover คือ รถอะไร แล้วมีความแตกต่างจากประเภทอื่นอย่างไรบ้าง

พอพูดถึงประเภทรถยนต์ที่คุ้นหูในยุคนี้ คงหนีไม่พ้นรถ SUV, Sedan, Hatchback หรือ Crossover อย่างแน่นอน ซึ่ง 3 ประเภทแรกที่เรากล่าวมา มันก็มีความชัดเจนอยู่แล้วภายใต้ชื่อรุ่น
คะน้าใบเขียว
clock icon30/01/2024
Rabbit Care Blog Image 1027
ดูแลยานยนต์

ประเภทรถยนต์ในปัจจุบันมีทั้งหมดกี่แบบ และแตกต่างกันตรงจุดไหนบ้าง

เวลาอ่านข่าวรถยนต์ออกใหม่ในตอนนี้ อาจทำให้หลายคนสงสัยว่าประเภทรถยนต์ที่แตกต่างกัน ในความเป็นจริงแล้วมันมีทั้งหมดกี่ประเภท
คะน้าใบเขียว
clock icon11/01/2024