ดูแลยานยนต์

เคลือบแก้วคืออะไร มีข้อเสียหรือข้อดีอย่างไรต่อตัวรถยนต์

ผู้เขียน : คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริดกว่า 7 ปี ผู้พยายามเข้าใจมักเกิ้ล นิยมชมชอบกลางคืน สามารถผูกมิตรได้ด้วยของกินอร่อยๆ ตอนนี้กำลังหลบลี้หนีภัยจากออฟฟิศซินโดรมอยู่

Published November 16, 2023
เคลือบแก้ว

บางครั้งแค่การล้างรถเพียงอย่างเดียว อาจดูแลได้ไม่ดีพอ จึงมีกรรมวิธีการเคลือบแก้ว เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราสามารถยกระดับการดูแลรถได้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นวันนี้ เอเชียไดเร็ค จะพาทุกคนตะลุยและคุดคุ้ยไปกับข้อมูลที่เกี่ยวกับข้องกับการเคลือบแก้ว คือ อะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างพอเทียบการเคลือบสี และเคลือเซรามิก พร้อมความรู้ด้านอื่น ๆ อย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการเคลือยทั้ง 3 ประเภทที่ได้กล่าวไป พออ่านจบแล้วคุณจะได้รู้จัก ตัดสินใจได้ทันทีว่าคุณเหมาะสมกับการดูแลรถด้วยวิธีไหนบ้าง

 

เคลือบแก้วคืออะไร?

เคลือบแก้ว คือ การเพิ่มชั้นสีของรถให้หนาขึ้นโดยใช้ Silicon Dioxide (SiO2) หรือซิลิกาที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมการผลิตแก้ว ซึ่งการเคลือบแก้วจะมีระดับความหนาที่แตกต่างกันออกไปถึง 9 ระดับ ตั้งแต่ 1-9H โดยหน้าที่ของสารที่เคลือบลงไปจะช่วยปกป้องผิวของรถเราได้ค่อนข้างดีทีเดียว บางกรณีอาจช่วยปกป้องผิวของรถเราจากรอยขีดข่วนได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการเคลือบแต่ละครั้งนั่นเอง

 

เคลือบเซรามิกคืออะไร? เหมือนกันหรือไม่?

เคลือบเซรามิก คือ การเคลือบผิวรถยนต์เช่นเดียวกันกับเคลือบแก้ว เพียงแต่สารประกอบที่ใช้เป็น Silicon Carbide (SiC) ที่มีคุณสมบัติเน้นด้านความแข็งแรงและความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ รวมทั้งการเพิ่มความเงา ความฉ่ำของสี แต่ในขณะเดียวกันการเคลือบเซรามิกนั้นส่วนใหญ่มีราคาที่สูงกว่าการเคลือบแก้ว อายุการใช้งานขั้นต่ำประมาณ 3 ปี หรืออาจอยู่ได้นานถึง 5 ปี นอกเหนือจากนั้นความหนาของการเคลือบเซรามิก จะหนาถึง 9H ที่อยู่ในเกณฑ์หน้าที่สุดแล้ว สำหรับการเคลือบรถยนต์

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับการเคลือบเซรามิกจากศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ

 

เคลือบแก้วราคาเท่าไหร่? แพงไหม?

ปัจจุบันเคลือบแก้วราคาสูงต่ำขึ้นอยู่กับคุณภาพ วิธีการ และความหนาของชั้นในการเคลือบแก้ว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ตั้งแต่ 7,000-60,000 บาท โดยที่ช่องว่างความแตกต่างของราคาค่อนข้างมาก แนะนำว่าถ้าต้องการนำรถยนต์ไปเคลือบแก้ว ขวดได้รับคำแนะนำเฉพาะด้านจากผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่ง 

 

เคลือบแก้วและเคลือบเซรามิก มีทั้งหมดกี่ประเภท

อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าเคลือบแก้วกับเคลือบเซรามิก ค่อนข้างคล้ายกัน จึงมีประเภทย่อยที่เหมือนกันอยู่ 2 ประเภท คือ การเคลือบแบบทา และการเคลือบแบบพ่น โดยวิธีการเคลือบจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทที่กล่าวมาดังนี้

  • การเคลือบแบบทา เป็นวิธีดั้งเดิมที่ต้องพึ่งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้เคลือบ เพื่อให้น้ำยาในการเคลือบไม่ว่าแบบใดก็ตาม สามารถกระจายได้ทั่วพื้นผิวรถยนต์อย่างเหมาะสมที่สุด
  • การเคลือบแบบพ่น ด้วยเครื่องพ่นสีรถยนต์ที่ช่วยให้น้ำยาเคลือบเซรามิก หรือเคลือบแก้วสามารถกระจายตัวได้ดี มีความสม่ำเสมอ รวดเร็ว และเข้าถึงได้หลายมุม 

ความแตกต่างของการเคลือบแก้ว หรือเคลือบเซรามิกทั้ง 2 ประเภท หากได้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้น อาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ให้บริการ และความต้องการจากเจ้าของรถยนต์เช่นคุณอีกที สะดวกแบบไหน ก่อนเข้าใช้งานลองสอบถามเพิ่มเติมกับร้านที่ให้บริการได้เลย

 

วิธีเคลือบแก้วทำอย่างไร?

วิธีเคลือบแก้วแบบเบื้องต้นจะมีประมาณ 7 ขั้นตอนด้วยกัน คือ การล้างทำความสะอาดรถ, เตรียมผิว, ขัดสี, ลงน้ำยา, ลงน้ำยาเคลือบ, รอเซตตัว และเคลือบเงาเพิ่มเติม สำหรับรายละเอียดขั้นตอนทั้งหมดมีดังนี้

  • การล้างทำความสะอาดรถ เพื่อให้มั่นใจว่าบนผิวรถของเราไม่มีเศษฝุ่น เศษดิน หรือคราบสกปรกอะไรหลงเหลืออยู่
  • เตรียมผิวรถยนต์ ด้วยดินน้ำมันเฉพาะทาง เพื่อเก็บรายละเอียดเรื่องฝุ่น หรือสิ่งสกปรกที่เป็นคราบฝังลึกให้หลุดลอกออกมาก่อนเริ่มการเคลือบแก้ว
  • ขัดสีรถยนต์ ช่วยลบรอยขีดข่วน หรือลบรอยขนแมวให้ได้มากที่สุดก่อน
  • ลงน้ำยา สำหรับการเคลือบแก้วโดยเฉพาะ ซึ่งมีหน้าที่ในการขจัดคราบอีกครั้ง และจัดการสารเคมีที่ตกค้างให้ออกไปจนหมด
  • ลงน้ำยาเคลือบ เทคนิคและวิธีการลงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชำนาญ และการศึกษาอย่างถูกต้อง หากใครอยากเคลือบให้หนา อาจต้องมีการดูวิดีโอสอนเคลือบแก้วเพิ่มเติมด้วย
  • รอเซตตัว ประมาณ 24 ชั่วโมง โดยที่รถของเราห้ามโดนน้ำเด็ดขาด เพื่อให้น้ำยาที่เคลือบไว้เซตตัวจนแห้งนั่นเอง
  • เคลือบเงาเพิ่มเติม หรือลงแวกซ์ควบคู่ เพื่อให้รถของเราเงางาม สวยคุ้มค่ากับการลงทุนเคลือบแก้ว

สำหรับวิธีเคลือบแก้วที่กล่าวมา เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ขอเพียงแค่ศึกษาเรื่องอุปกรณ์ในการเคลือบแก้ว เตรียมความพร้อมทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องและครบถ้วน ถึงจะสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากใครไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือความเข้าใจในกระบวนการ ควรนำรถยนต์เข้าไปใช้บริการร้านเคลือบแก้วจะเหมาะสมกว่า

 

เคลือบแก้ว คือ

 

เคลือบแก้ว ข้อเสีย-ข้อดี

สรุปเคลือบแก้ว ข้อเสีย ข้อดีจะมีอะไรบ้าง ใครกำลังคิดจะทำเคลือบแก้วให้รถยนต์ของตัวเอง ลองอ่านทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้

ข้อดีการเคลือบแก้ว

  • ช่วยปกป้องผิวรถจากรอยขีดข่วนหรือรอยขนแมวได้ดี 
  • ช่วยรักษาสีรถให้สดใหม่ มีความฉ่ำวาวและเงางาม
  • ช่วยป้องกันผิวรถยนต์จากแสง UV คงสภาพสีให้ได้นานขึ้น
  • ปกป้องผิวรถจากคราบความสกปรกต่าง ๆ ที่กระเด็นเข้ามาโดน
  • เคลือบแก้วหนึ่งครั้งอยู่ได้ค่อนข้างนาน ประมาณ 2-3 ปี ทำให้รถของเราได้รับการปกป้องยาวนาน
  • ช่วยให้เราสามารถทำความสะอาดรถได้ง่ายขึ้น เพราะคราบสกปรกจะหลุดออกมาได้ง่าย

ข้อเสียการเคลือบแก้ว

  • การเคลือบแก้วถือเป็นวิธีการที่ทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งในแง่มุมขั้นตอน การเตรียมอุปกรณ์พิเศษเฉพาะทาง ที่หากสารเคมีบางตัวไม่ได้คุณภาพ อาจทำให้เคลือบแก้วของเราไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก
  • ราคาการเคลือบแก้วที่ค่อนข้างสูง เริ่มต้นจากการเคลือบแบบชั้นบางสุดบางที่ก็ออกสตาร์ตกันตั้งแต่ 6,000 บาท ถ้าอยากได้เคลือบหนาขึ้น ราคาจะยิ่งเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามความยากกระบวนการที่เพิ่มขึ้น
  • แม้การเคลือบแก้วจะกันรอยขีดข่วนได้ แต่หากมีแรงกด แรงกระแทก ก็ไม่สามารถป้องกันได้ 

 

ความต่างระหว่างการเคลือบสีกับเคลือบแก้ว

เคลือบสี คือ การเคลือบผิวรถยนต์ด้วยแวกซ์หรือน้ำยาชนิดต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวสีของรถเราดูเงางาม และดูเหมือนใหม่ได้เช่นกัน รวมถึงคุณสมบัติในการดูแลผิวรถตั้งแต่รอยขีดข่วนกับปกป้องสิ่งสกปรกได้เช่นกัน เพียงแต่อายุการเคลือบสีนั้นอยู่เพียงแค่ 2-3 อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับการเคลือบแก้วที่อยู่ได้นาน 2-3 ปีเลยทีเดียว ทั้งนี้มีเรื่องราคาที่ห่างมากเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของรถแล้วว่าต้องการเลือกใช้แบบไหน

 

สรุปเลือกแบบไหนเหมาะสมที่สุดระหว่าง เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก และเคลือบสี

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก และเคลือบสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลองมาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมกันอีกเล็กน้อยว่า แบบไหนเหมาะสมกับใครมากที่สุด

  • เคลือบแก้ว เหมาะสมกับคนที่ต้องการดูแลผิวรถยนต์ในระยะยาว ให้ห่างไกลจากรอยขีดข่วน รอยขนแมว คราบสกปรก รวมถึงเราสามารถทำความสะอาดรถได้ง่ายด้วย
  • เคลือบเซรามิก เหมาะสมกับคนที่อยากได้คุณสมบัติการปกป้อง เหมือนกับการเคลือบแก้ว แต่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าเดิม 
  • เคลือบสี เหมาะสมกับคนที่อยากให้รถยนต์ของตัวเองมีสีสดใส มีความฉ่ำวาว เงางามที่สุด และอยากประหยัดงบต่อครั้ง

ทีนี้เหลือแค่การตัดสินใจของคุณเจ้าของรถแล้วว่า ถ้าต้องการดูแลรถยนต์ด้วยการเคลือบ แบบไหนจะเหมาะสมกับคุณมากที่สุด ลองตัดสินใจจากความต้องการจริง ๆ รวมถึงงบประมาณที่เรามีอยู่ เพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจทำได้ง่าย และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด 

แต่ถ้าใครอยากยกระดับการดูแลรถยนต์ให้มีการคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง เอเชียไดเร็ค ขออนุญาตแนะนำให้ลองพิจารณาการทำประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณ เพื่อรับการคุ้มครองทั้งในด้านอุบัติเหตุที่ประกันจะเข้ามาช่วยเหลือ เรื่องค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ไปจนถึงการคุ้มครองทรัพย์สิน และอื่น ๆ อีกมากมาย หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แถมด้วยข้อเสนอสุดพิเศษจาก เอเชียไดเร็ค สามารถติดต่อโดยตรงมาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-089-2000 หรือไลน์แอด @asiadirect ได้เช่นกัน

บทความดูแลยานยนต์
Rabbit Care Blog Image 1051

ดูแลยานยนต์

ถุงลมนิรภัย คือ อะไร ใช้งานเมื่อไหร่ ต้องเปลี่ยนไหม แล้วมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

จุดเริ่มต้นของถุงลมนิรภัยเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1971 ที่ทางบริษัทฟอร์ดได้สร้างรุ่นทดลองขึ้นมาวิจัย
คะน้าใบเขียว
clock icon01/02/2024
Rabbit Care Blog Image 1047

ดูแลยานยนต์

Crossover คือ รถอะไร แล้วมีความแตกต่างจากประเภทอื่นอย่างไรบ้าง

พอพูดถึงประเภทรถยนต์ที่คุ้นหูในยุคนี้ คงหนีไม่พ้นรถ SUV, Sedan, Hatchback หรือ Crossover อย่างแน่นอน ซึ่ง 3 ประเภทแรกที่เรากล่าวมา มันก็มีความชัดเจนอยู่แล้วภายใต้ชื่อรุ่น
คะน้าใบเขียว
clock icon30/01/2024
Rabbit Care Blog Image 1024

ดูแลยานยนต์

ไฟตัดหมอกมีความสำคัญอย่างไร และแยกออกเป็นกี่ประเภท

โดยปกติแล้วคนที่ซื้อรถยนต์ในปัจจุบันจะมีไฟตัดหมอกติดตั้งมาให้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแต่บางคนอาจไม่ทราบข้อมูลอย่างแท้จริงว่าไฟตัดหมอก คือ อะไร
คะน้าใบเขียว
clock icon25/01/2024