เคลือบแก้วคืออะไร มีข้อเสียหรือข้อดีอย่างไรต่อตัวรถยนต์
บางครั้งแค่การล้างรถเพียงอย่างเดียว อาจดูแลได้ไม่ดีพอ จึงมีกรรมวิธีการเคลือบแก้ว เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราสามารถยกระดับการดูแลรถได้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นวันนี้ เอเชียไดเร็ค จะพาทุกคนตะลุยและคุดคุ้ยไปกับข้อมูลที่เกี่ยวกับข้องกับการเคลือบแก้ว คือ อะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างพอเทียบการเคลือบสี และเคลือเซรามิก พร้อมความรู้ด้านอื่น ๆ อย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการเคลือยทั้ง 3 ประเภทที่ได้กล่าวไป พออ่านจบแล้วคุณจะได้รู้จัก ตัดสินใจได้ทันทีว่าคุณเหมาะสมกับการดูแลรถด้วยวิธีไหนบ้าง
เคลือบแก้วคืออะไร?
เคลือบแก้ว คือ การเพิ่มชั้นสีของรถให้หนาขึ้นโดยใช้ Silicon Dioxide (SiO2) หรือซิลิกาที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมการผลิตแก้ว ซึ่งการเคลือบแก้วจะมีระดับความหนาที่แตกต่างกันออกไปถึง 9 ระดับ ตั้งแต่ 1-9H โดยหน้าที่ของสารที่เคลือบลงไปจะช่วยปกป้องผิวของรถเราได้ค่อนข้างดีทีเดียว บางกรณีอาจช่วยปกป้องผิวของรถเราจากรอยขีดข่วนได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการเคลือบแต่ละครั้งนั่นเอง
เคลือบเซรามิกคืออะไร? เหมือนกันหรือไม่?
เคลือบเซรามิก คือ การเคลือบผิวรถยนต์เช่นเดียวกันกับเคลือบแก้ว เพียงแต่สารประกอบที่ใช้เป็น Silicon Carbide (SiC) ที่มีคุณสมบัติเน้นด้านความแข็งแรงและความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ รวมทั้งการเพิ่มความเงา ความฉ่ำของสี แต่ในขณะเดียวกันการเคลือบเซรามิกนั้นส่วนใหญ่มีราคาที่สูงกว่าการเคลือบแก้ว อายุการใช้งานขั้นต่ำประมาณ 3 ปี หรืออาจอยู่ได้นานถึง 5 ปี นอกเหนือจากนั้นความหนาของการเคลือบเซรามิก จะหนาถึง 9H ที่อยู่ในเกณฑ์หน้าที่สุดแล้ว สำหรับการเคลือบรถยนต์
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับการเคลือบเซรามิกจากศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ
เคลือบแก้วราคาเท่าไหร่? แพงไหม?
ปัจจุบันเคลือบแก้วราคาสูงต่ำขึ้นอยู่กับคุณภาพ วิธีการ และความหนาของชั้นในการเคลือบแก้ว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ตั้งแต่ 7,000-60,000 บาท โดยที่ช่องว่างความแตกต่างของราคาค่อนข้างมาก แนะนำว่าถ้าต้องการนำรถยนต์ไปเคลือบแก้ว ขวดได้รับคำแนะนำเฉพาะด้านจากผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่ง
เคลือบแก้วและเคลือบเซรามิก มีทั้งหมดกี่ประเภท
อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าเคลือบแก้วกับเคลือบเซรามิก ค่อนข้างคล้ายกัน จึงมีประเภทย่อยที่เหมือนกันอยู่ 2 ประเภท คือ การเคลือบแบบทา และการเคลือบแบบพ่น โดยวิธีการเคลือบจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทที่กล่าวมาดังนี้
- การเคลือบแบบทา เป็นวิธีดั้งเดิมที่ต้องพึ่งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้เคลือบ เพื่อให้น้ำยาในการเคลือบไม่ว่าแบบใดก็ตาม สามารถกระจายได้ทั่วพื้นผิวรถยนต์อย่างเหมาะสมที่สุด
- การเคลือบแบบพ่น ด้วยเครื่องพ่นสีรถยนต์ที่ช่วยให้น้ำยาเคลือบเซรามิก หรือเคลือบแก้วสามารถกระจายตัวได้ดี มีความสม่ำเสมอ รวดเร็ว และเข้าถึงได้หลายมุม
ความแตกต่างของการเคลือบแก้ว หรือเคลือบเซรามิกทั้ง 2 ประเภท หากได้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้น อาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ให้บริการ และความต้องการจากเจ้าของรถยนต์เช่นคุณอีกที สะดวกแบบไหน ก่อนเข้าใช้งานลองสอบถามเพิ่มเติมกับร้านที่ให้บริการได้เลย
วิธีเคลือบแก้วทำอย่างไร?
วิธีเคลือบแก้วแบบเบื้องต้นจะมีประมาณ 7 ขั้นตอนด้วยกัน คือ การล้างทำความสะอาดรถ, เตรียมผิว, ขัดสี, ลงน้ำยา, ลงน้ำยาเคลือบ, รอเซตตัว และเคลือบเงาเพิ่มเติม สำหรับรายละเอียดขั้นตอนทั้งหมดมีดังนี้
- การล้างทำความสะอาดรถ เพื่อให้มั่นใจว่าบนผิวรถของเราไม่มีเศษฝุ่น เศษดิน หรือคราบสกปรกอะไรหลงเหลืออยู่
- เตรียมผิวรถยนต์ ด้วยดินน้ำมันเฉพาะทาง เพื่อเก็บรายละเอียดเรื่องฝุ่น หรือสิ่งสกปรกที่เป็นคราบฝังลึกให้หลุดลอกออกมาก่อนเริ่มการเคลือบแก้ว
- ขัดสีรถยนต์ ช่วยลบรอยขีดข่วน หรือลบรอยขนแมวให้ได้มากที่สุดก่อน
- ลงน้ำยา สำหรับการเคลือบแก้วโดยเฉพาะ ซึ่งมีหน้าที่ในการขจัดคราบอีกครั้ง และจัดการสารเคมีที่ตกค้างให้ออกไปจนหมด
- ลงน้ำยาเคลือบ เทคนิคและวิธีการลงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชำนาญ และการศึกษาอย่างถูกต้อง หากใครอยากเคลือบให้หนา อาจต้องมีการดูวิดีโอสอนเคลือบแก้วเพิ่มเติมด้วย
- รอเซตตัว ประมาณ 24 ชั่วโมง โดยที่รถของเราห้ามโดนน้ำเด็ดขาด เพื่อให้น้ำยาที่เคลือบไว้เซตตัวจนแห้งนั่นเอง
- เคลือบเงาเพิ่มเติม หรือลงแวกซ์ควบคู่ เพื่อให้รถของเราเงางาม สวยคุ้มค่ากับการลงทุนเคลือบแก้ว
สำหรับวิธีเคลือบแก้วที่กล่าวมา เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ขอเพียงแค่ศึกษาเรื่องอุปกรณ์ในการเคลือบแก้ว เตรียมความพร้อมทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องและครบถ้วน ถึงจะสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากใครไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือความเข้าใจในกระบวนการ ควรนำรถยนต์เข้าไปใช้บริการร้านเคลือบแก้วจะเหมาะสมกว่า
เคลือบแก้ว ข้อเสีย-ข้อดี
สรุปเคลือบแก้ว ข้อเสีย ข้อดีจะมีอะไรบ้าง ใครกำลังคิดจะทำเคลือบแก้วให้รถยนต์ของตัวเอง ลองอ่านทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้
ข้อดีการเคลือบแก้ว
- ช่วยปกป้องผิวรถจากรอยขีดข่วนหรือรอยขนแมวได้ดี
- ช่วยรักษาสีรถให้สดใหม่ มีความฉ่ำวาวและเงางาม
- ช่วยป้องกันผิวรถยนต์จากแสง UV คงสภาพสีให้ได้นานขึ้น
- ปกป้องผิวรถจากคราบความสกปรกต่าง ๆ ที่กระเด็นเข้ามาโดน
- เคลือบแก้วหนึ่งครั้งอยู่ได้ค่อนข้างนาน ประมาณ 2-3 ปี ทำให้รถของเราได้รับการปกป้องยาวนาน
- ช่วยให้เราสามารถทำความสะอาดรถได้ง่ายขึ้น เพราะคราบสกปรกจะหลุดออกมาได้ง่าย
ข้อเสียการเคลือบแก้ว
- การเคลือบแก้วถือเป็นวิธีการที่ทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งในแง่มุมขั้นตอน การเตรียมอุปกรณ์พิเศษเฉพาะทาง ที่หากสารเคมีบางตัวไม่ได้คุณภาพ อาจทำให้เคลือบแก้วของเราไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก
- ราคาการเคลือบแก้วที่ค่อนข้างสูง เริ่มต้นจากการเคลือบแบบชั้นบางสุดบางที่ก็ออกสตาร์ตกันตั้งแต่ 6,000 บาท ถ้าอยากได้เคลือบหนาขึ้น ราคาจะยิ่งเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามความยากกระบวนการที่เพิ่มขึ้น
- แม้การเคลือบแก้วจะกันรอยขีดข่วนได้ แต่หากมีแรงกด แรงกระแทก ก็ไม่สามารถป้องกันได้
ความต่างระหว่างการเคลือบสีกับเคลือบแก้ว
เคลือบสี คือ การเคลือบผิวรถยนต์ด้วยแวกซ์หรือน้ำยาชนิดต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวสีของรถเราดูเงางาม และดูเหมือนใหม่ได้เช่นกัน รวมถึงคุณสมบัติในการดูแลผิวรถตั้งแต่รอยขีดข่วนกับปกป้องสิ่งสกปรกได้เช่นกัน เพียงแต่อายุการเคลือบสีนั้นอยู่เพียงแค่ 2-3 อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับการเคลือบแก้วที่อยู่ได้นาน 2-3 ปีเลยทีเดียว ทั้งนี้มีเรื่องราคาที่ห่างมากเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของรถแล้วว่าต้องการเลือกใช้แบบไหน
สรุปเลือกแบบไหนเหมาะสมที่สุดระหว่าง เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก และเคลือบสี
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก และเคลือบสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลองมาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมกันอีกเล็กน้อยว่า แบบไหนเหมาะสมกับใครมากที่สุด
- เคลือบแก้ว เหมาะสมกับคนที่ต้องการดูแลผิวรถยนต์ในระยะยาว ให้ห่างไกลจากรอยขีดข่วน รอยขนแมว คราบสกปรก รวมถึงเราสามารถทำความสะอาดรถได้ง่ายด้วย
- เคลือบเซรามิก เหมาะสมกับคนที่อยากได้คุณสมบัติการปกป้อง เหมือนกับการเคลือบแก้ว แต่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าเดิม
- เคลือบสี เหมาะสมกับคนที่อยากให้รถยนต์ของตัวเองมีสีสดใส มีความฉ่ำวาว เงางามที่สุด และอยากประหยัดงบต่อครั้ง
ทีนี้เหลือแค่การตัดสินใจของคุณเจ้าของรถแล้วว่า ถ้าต้องการดูแลรถยนต์ด้วยการเคลือบ แบบไหนจะเหมาะสมกับคุณมากที่สุด ลองตัดสินใจจากความต้องการจริง ๆ รวมถึงงบประมาณที่เรามีอยู่ เพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจทำได้ง่าย และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
แต่ถ้าใครอยากยกระดับการดูแลรถยนต์ให้มีการคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง เอเชียไดเร็ค ขออนุญาตแนะนำให้ลองพิจารณาการทำประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณ เพื่อรับการคุ้มครองทั้งในด้านอุบัติเหตุที่ประกันจะเข้ามาช่วยเหลือ เรื่องค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ไปจนถึงการคุ้มครองทรัพย์สิน และอื่น ๆ อีกมากมาย หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แถมด้วยข้อเสนอสุดพิเศษจาก เอเชียไดเร็ค สามารถติดต่อโดยตรงมาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-089-2000 หรือไลน์แอด @asiadirect ได้เช่นกัน
นักเขียนรุ่นไฮบริดกว่า 7 ปี ผู้พยายามเข้าใจมักเกิ้ล นิยมชมชอบกลางคืน สามารถผูกมิตรได้ด้วยของกินอร่อยๆ ตอนนี้กำลังหลบลี้หนีภัยจากออฟฟิศซินโดรมอยู่